วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 ประโยชน์ดี ๆ ที่ได้จากการงีบหลับช่วงสั้น ๆ


 อย่างที่เราทราบ ๆ กันดีนะครับว่า การนอนหลับถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ที่คนเราทุกคนควรจะนอนให้เพียงพอ แต่สำหรับคนที่นอนไม่ค่อยจะพอสักเท่าไหร่ แล้วอยากจะงีบหลับสักเล็กน้อยบ้างนั้น เราสนับสนุนให้มีงีบบ้างนะครับ เพราะทางเว็บไซต์ mensxp.com ได้บอก 10 ประโยชน์ดี ๆ ที่ได้จากการงีบหลับช่วงสั้น ๆ ซึ่งประโยชน์ทั้ง 10 ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง เราลองมาดูไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าครับ

 1. ลดความเครียดได้

          ไม่ว่าคุณจะฟุบงีบบนโต๊ะ หรือจะได้นอนแบบจริง ๆ จัง ๆ นั้น จะถือเป็นเวลาที่คุณจะได้ผ่อนคลายอย่างสบายทีเดียว โดยมีผลวิจัยทางการแพทย์ออกมาระบุว่าการงีบเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยลดฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ด้วย

 2. ก่อให้เกิดการตื่นตัวในการทำงาน

          นักวิทยาศาสตร์พบว่าการงีบหลับเพียง 20 นาทีหลังจากที่เราตื่นมาแล้ว 8 ชั่วโมงจะช่วยเสริมพลังให้ตัวเราได้ดีกว่าการนอนต่ออีก 20 นาทีในตอนเช้า ซึ่งนี่ล่ะ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่และผลักดันให้พร้อมทำงานหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องรับผิดชอบได้ดีมากขึ้น



 3. เพิ่มความจำได้เยอะเลยล่ะ

          ตามข้อมูลระบุว่า การงีบในช่วงกลางวันจะช่วยเพิ่มในเรื่องของความจำให้กับสมองได้ดีเพิ่มขึ้นมาก ๆ แถมสิ่งต่าง ๆ ที่จดจำนั้นก็จะจำได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำกว่าที่เคยมาก ๆ อีกต่างหาก

 4. เป็นผลดีต่อหัวใจ

          จากการวิจัยพบว่า การงีบหลับในช่วงระหว่างวัน จะช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจโดยเฉพาะในหนุ่ม ๆ ที่มีสุขภาพดี ผลงานวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาจากผู้คนกว่า 23,681 คนในประเทศกรีซ ซึ่งไม่มีประวัติเป็นโรคหัวใจตีบ เส้นโลหิตสมองแตกหรือมะเร็ง ซึ่งจากการวิจัยดังกล่าวก็ได้ผลสรุปออกมาว่า หากมีการงีบหลับอย่างน้อยสัก 20-30 นาที จะลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 37% เลยทีเดียว

 5. เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้น

          องค์การนาซ่า (NASA) เคยทำการวิจัยมาว่า การงีบหลับช่วยเพิ่มความสามารถด้านการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นกว่า 40% โดยทดลองให้อาสาสมัคร 1,000 คน ทำงานต่อเนื่องแบบไม่หยุดพัก นี่เองเลยทำให้ความจำของพวกเขาลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้งีบหลับ


 6. เกิดแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย

          อีกหนึ่งประโยชน์ที่มาพร้อม ๆ กับการงีบหลับก็คือ เรื่องของการเพิ่มแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย โดยจากข้อมูลทางการแพทย์บอกไว้ว่า การงีบหลับก่อนไปออกกำลังกาย ช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งได้เร็วและได้ระยะทางที่ไกลกว่าเดิม แถมยังทำให้สภาพจิตใจรู้สึกสดชื่นมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

 7. ช่วยให้สมองโลดแล่น

          นอกจากเรื่องของความจำและการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะทำได้ดีมากขึ้นแล้ว หากใครที่ต้องทำงานหรือต้องใช้ความคิดในการสร้างสรรค์งานอยู่เสมอล่ะก็ การงีบหลับจะช่วยได้มากทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นผลมาจากการที่สมองได้พักผ่อนไปนั่นเอง ซึ่งเมื่อคุณตื่นขึ้นมา สมองก็พร้อมที่จะใช้งานและพร้อมที่จะคิดไอเดียใหม่ ๆ ออกมาเสมอด้วยนั่นเอง

 8. เกิดความกระตือรือร้น

          นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายกับวัยรุ่นหนุ่ม 11 คนพบว่า ใครที่นอนเพียงแค่ 4 ชั่วโมงต่อวันนั้น จะมีอาการอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อมีการงีบหลับสักแค่ 20 นาที อาการอิดโรยต่าง ๆ ก็หายไปซะดื้อ ๆ แถมยังช่วยให้มีแรงไปทำสิ่งอื่น ๆ ได้เหมือนกับคนที่พักผ่อนอย่างเพียงพออีกต่างหาก แต่อย่างไรก็ดี จากอาการต่าง ๆ ที่บอกว่าหายไปนั้นจะหายไปเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จะไม่เกิดความกระตือรือร้นไปตลอดทั้งวันแต่อย่างใด



 9. ช่วยป้องกันโรคนอนไม่หลับ

          ใครที่กำลังประสบปัญหากับการนอนไม่หลับ ก็อย่าเพิ่งกังวลมากจนเกินไปนัก เพราะเพียงแค่คุณลองหาเวลาสัก 20 นาทีเพื่อให้ได้งีบสักบ้าง ก็จะช่วยทดแทนเรื่องของการพักผ่อนได้ดีพอควร อาจจะเป็นการงีบหลับช่วงสั้น ๆ ในเวลากลางวัน ก็ช่วยได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี อย่าได้ทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัย หากแต่ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการพักผ่อนเสียใหม่ จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

 10. สุขภาพดีขึ้นไม่น้อย

          ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า การงีบหลับนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายมหาศาล อันจะเห็นได้จากการส่งผลดีต่อ การทำงานของหัวใจ ปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย และช่วยซ่อมบำรุงเซลล์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งหากใครที่มองว่าการงีบไม่ใช่เรื่องที่ดี ลองหันมางีบหลับบ้าง แล้วจะพบว่ามีหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจริง ๆ

          แม้ว่าเรื่องของ "การงีบหลับ" จะมีประโยชน์และผลดีมากมายขนาดนี้ แต่การพักผ่อนให้เพียงพอ ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะส่งผลดีต่อร่างกายคนเราซะมากกว่า ส่วนเรื่องของการงีบหลับนั้น ก็นำมาปรับใช้ตามความเหมาะสมของการใช้ชีวิตของแต่ละคน ก็จะยิ่งช่วยเสริมผลดีให้แก่ร่างกายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณควรงีบหลับเพียงแค่ 15-20 นาทีต่อวันเท่านั้น ประโยชน์ดี ๆ เหล่านี้ถึงจะทำงานได้อย่างได้ผล หากงีบหลับมากไปว่านั้น นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังอาจจะส่งผลต่อหน้าที่การงานคุณเข้าอย่างจังเลยก็ได้!!

ขอบคุณข้อมูลจาก   www.kapook.com/

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Acer Aspire S7 อัลตร้าบุ๊ควินโดวส์ 8 พร้อมหน้าจอสัมผัส



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Engadget
 
          เตรียมตัวบอกลาโน๊ตบุ๊คแบบเดิม ๆ ได้เลย ยุคของอัลตร้าบุ๊คได้มาถึงแล้ว โน๊ตบุ๊คแบบบาง ๆ น้ำหนักเบา พกพาสะดวกและประหยัดพลังงาน ล่าสุดทาง Acer ได้เผยโฉม Acer Aspire S7 อัลตร้าบุ๊ครุ่นท็อปที่มาพร้อมกับดีไซน์สุดหรูหน้าจอสัมผัส และตัวเครื่องบางเพียง 12.5 มิลลิเมตรเท่านั้น มาพร้อมขุมพลังซีพียูตระกูล Intel Ivy Bridge โดยแบ่งออกเป็น 2 รุ่นด้วยกัน คือ รุ่นหน้าจอขนาด 13.3 นิ้วและรุ่นหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว
 


Acer Aspire S7

Acer Aspire S7
 
          สำหรับ Acer Aspire S7 จุดเด่นอยู่ที่หน้าจอสัมผัสแบบ Full HD สามารถกางออกได้ 180 องศา และออกแบบมาให้รองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 8 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานด้วยซีพียูตระกูล Ivy Bridge ทำให้ใช้งานได้อย่างราบรื่นและประหยัดพลังงาน ส่วนตัวเครื่องวัสดุเป็นอะลูมิเนียม โครงสร้างเป็นแบบชิ้นเดียว (Unibody) มีความหนาเพียง 12.5 มิลลิเมตร (หนากว่า Acer Aspire S5 แค่ 1.5 มิลลิเมตร)
 
Acer Aspire S7
 
สเปคและคุณสมบัติอื่น ๆ ของ Acer Aspire S7 

 ซีพียูตระกูล Intel Ivy Bridge
 ระบบปฏิบัติการ Windows 8
 หน้าจอสัมผัส ขนาด 13.3 นิ้วและ 11.6 นิ้ว แบบ Full HD ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล
 ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม มีความหนาเพียง 12.5 มิลลิเมตร
 แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 12 ชั่วโมง (รุ่นหน้าจอ 13.3 นิ้ว) และแบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 9 ชั่วโมง (รุ่นหน้าจอ 11.6 นิ้ว)
 คีย์บอร์ดแบบ light-sensor ที่ปรับระดับแสงสว่างบนคีย์บอร์ดให้เองอัตโนมัติ
 ใช้เทคโนโลยีระบายความร้อน Twin-Air cooling system ที่จะช่วยให้ระบบระบายความร้อนดีขึ้น ไม่เกิดความร้อนสะสม
 ราคายังไม่มีการเปิดเผย
 
          สำหรับ Acer Aspire S7 เป็นอัลตร้าบุ๊คที่เหมาะกับคนที่ชอบความสะดวก เน้นพกพาง่าย น้ำหนักเบา อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานด้วยหน้าจอแบบสัมผัส ทั้งนี้ Acer Aspire S7 คาดว่าจะออกวางจำหน่ายหลังจากที่ทางไมโครซอฟท์เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 8 เรียบร้อยแล้ว คือประมาณช่วงปลายปี 2012 นั่นเอง

5 ประโยคเด็ด ในการง้อแฟนสาวขี้งอนให้ได้ผล

           หนุ่ม ๆ หลายคนคงปวดหัวและเพลียใจอยู่บ่อย ๆ กับเวลาที่ต้องมานั่งง้อแฟนสาวจอมขี้งอนของตัวเองใช่ไหมครับ โดยเฉพาะเวลาที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่ต้องมาตามง้อให้เธอยิ้มออก ซึ่งบางครั้งพยายามคอยเอาอกเอาใจก็แล้ว หาของขวัญมาปลอบใจก็แล้ว แต่ก็ยังไม่หายอยู่ดี ความจริงแล้วมันมีเคล็ดลับง่าย ๆ อยู่อย่างหนึ่งคือ การใช้ลมปากของเรานี่แหละ พูดให้เธอหายโกรธ ซึ่งวันนี้เราเตรียมประโยคเด็ดที่ว่ามาแนะนำให้คุณทราบกัน

 1. "ที่รัก...ผมขอโทษนะ"

           บางครั้งคุณไม่ต้องมัวมานั่งหาคำตอบหรอกนะ ว่าเรื่องนี้ใครผิดใครถูก แต่หน้าที่ของผู้ชายอย่างเราคือ กล่าวขอโทษเธอไปซะเถอะ มันไม่ได้เสียเกียรติหรือศักดิ์ศรีอะไรเลย หากจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน ซ้ำยังเป็นการแสดงออกให้เธอเห็นว่าคุณยินดีรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย อ่อ แต่อย่าลืมว่า เวลากล่าวคำขอโทษให้พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจอย่างจริงใจด้วยนะ เพราะผู้หญิงเธอรู้นะว่า คุณเสียใจอย่างที่พูดจริง ๆ หรือว่าพูดเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป

5 ประโยคเด็ด ในการง้อแฟนสาวขี้งอนให้ได้ผล

 2. "ผมรักคุณและคิดถึงคุณมาก"

           ร้อยทั้งร้อยผู้หญิงน่ะแพ้คำว่า รักและคิดถึง มากที่สุด เพราะเป็นคำง่าย ๆ สั้น ๆ แต่มีอิทธิพลกับความรู้สึกมากทีเดียว ไม่ว่าเธอจะโมโหเกรี้ยวกราดมาจากไหน แต่เมื่อได้ยินคำบอกรักหวาน ๆ ซึ้ง ๆ จากคุณเข้า ต้องหายโกรธและพร้อมให้อภัยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ก่อนพูดต้องดูจังหวะและเวลาที่เหมาะสมด้วย ไม่ใช่ว่าเธอกำลังพูดอยู่ฉอด ๆ ๆ แล้วคุณดันไปบอกรักเธอสวนกลับไป เธอคงปลื้มอยู่หรอกนะอารมณ์นั้น

 3. "เราหายโกรธกันแล้วใช่ไหม?"

           หลายครั้ง ที่คู่รักหลายคู่มักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เป็นประจำ ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กขี้ประติ๋ว แต่ดั๊นกลายมาเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันจนได้ ที่สำคัญทั้งคุณและเธออาจหายเคืองกันแล้วด้วยซ้ำ แต่ดันฟอร์มจัดไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน ฉะนั้น มันก็เป็นหน้าที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ แล้วล่ะ ที่ต้องเป็นคนเดินเข้าหาผู้หญิงก่อน โดยแกล้งเข้าไปถามเธอสิว่า "นี่เราหายโกรธกันแล้วใช่ไหมจ๊ะที่รัก? งั้นออกไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานกันเถอะ" ชวนคุยแบบเนียน ๆ ไปเลย

5 ประโยคเด็ด ในการง้อแฟนสาวขี้งอนให้ได้ผล

 4. "ที่รัก คุณทำอะไรอยู่ครับ?"

           หลังผ่านพ้นช่วงเวลาที่ถกเถียงกันอย่างหนักไปเรียบร้อยแล้ว หากไม่แน่ใจว่า แฟนของคุณอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ ก็ส่งข้อความ SMS แย็บ ๆ ไปทักทายสั้น ๆ ก่อนว่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ แล้วดูสิว่าเธอจะตอบกลับมาหรือเปล่า แต่ไม่ต้องส่งข้อความไปหาแบบยิก ๆ นะ เพราะเธออาจยิ่งรำคาญเข้าไปใหญ่ ถ้าเธออารมณ์ดีแล้วก็ตอบคุณมาเองแหละ

 5. "เราหันหน้ามาคุยกันดีกว่านะ"

           เชื่อไหมว่า ผู้หญิงหลายคนเมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า พวกเธอจะรู้สึกว่าปัญหามันเริ่มซีเรียสมากแล้ว และคุณอยากจะเคลียร์กับเธอแล้วจริง ๆ ดังนั้น หากลองพูดทุกประโยคข้างต้นไปหมด และสถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ให้บอกเธอไปตามตรงว่า คุณอยากจะคุยถึงปัญหาว่ามันเกิดอะไร โดยที่คุณต้องใจเย็น ๆ และพยายามมีเหตุผลด้วย เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน

           เอาล่ะ เมื่อได้ทราบถึงประโยคเด็ดที่จะทำให้สาว ๆ ยอมใจอ่อน หายโกรธกันไปแล้ว ไม่เชื่อก็ลองนำไปพูดกับแฟนของคุณดูสิ ผู้หญิงง้อไม่ยากหรอก แต่ก็ไม่ควรไปทำอะไรให้พวกเธอเคืองบ่อย ๆ ล่ะ เพราะถึงเธอจะให้อภัย แต่ไม่ลืมง่าย ๆ นะ จะบอกให้

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ใครคือครู ครูคือใคร ในวันนี้


ใครคือครูครูคือใครในวันนี้ ใช่อยู่ที่ปริญญามหาศาล
ใช่อยู่ที่เรียกว่าครูอาจารย์  ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน
ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน
ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียรให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้การงาน
ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์มีดวงมาลเพื่อมวลชนใช่ตนเอง
ครูจึงเป็นนักสร้างผู้ใหญ่ยิ่งสร้างความจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง
สร้างคนให้เป็นตัวของตัวเองขอมอบเพลงนี้มาบูชาครู....

Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้


Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้

Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้

Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้

          หากจะพูดถึงกีฬาที่เป็นสากลของมวลมนุษยชาติแล้ว "ฟุตบอล" ถือเป็นกีฬาที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ รู้จัก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อีกทั้ง ฟุตบอลยังเป็นสิ่งที่ช่วยจุดประกายความฝันเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ มากมาย ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ อันจะเห็นได้จากนักฟุตบอลดัง ๆ มากมาย ที่ได้แรงกระตุ้นในการต่อสู้กับชีวิตด้วยลูกกลม ๆ ที่ว่านี้

          แต่จะอย่างไรก็ดี ลูกกลม ๆ ที่ฮอตฮิตก็ไม่ได้ทำหน้าเป็นเพียงลูกยางให้ได้เตะกันเท่านั้น หากแต่สามารถผลิตกระแสไฟให้ได้ใช้ในยามค่ำคืนอีกด้วย ครับ! คุณ ๆ อ่านกันไม่ผิดแน่นอน เพราะวันนี้เราขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ "Soccket" ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้ให้ใช้ในครัวเรือนได้จริง ๆ

          Soccket เป็นผลงานชั่นเยี่ยมของ 4 สาวนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) โดยภายในของ Soccket จะมีขดลวดซึ่งทำหน้าหน้าเป็นตัวประจุแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ทั่วลูกบอล ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ลูกบอลกลิ้งไปมา หรือมีการเคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็นการโดนสัมผัสในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม ขดลวดที่ว่าก็จะทำหน้าที่บรรจุกระแสไฟฟ้าทันทีเก็บสะสมไว้ทันที

          จากการทดสอบนั้น ระบุไว้ว่า เพียงแค่เตะบอลไปมาเป็นเวลา 15 นาที ก็จะมีพลังงานไฟฟ้าได้ใช้ได้นานถึง 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งนี่ถือเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญที่มีความยิ่งใหญ่มาก ๆ ทั้งนี้ ทั้ง 4 สาวได้ลองนำผลงานของพวกเธอไปให้กับเด็ก ๆ ในประเทศที่ยังไม่พัฒนาได้ลองไปเล่นกันดู จากนั้นแล้วก็ลองนำมาทดสอบว่า สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้จริงหรือไม่ ซึ่งผลที่ได้ ก็ดีเกินคาดอย่างมากจริง ๆ Soccket สามารถผลิตไฟฟ้าได้จริง

          ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่สาว ๆ นักประดิษฐ์ทั้ง 4 จะทำออกจำหน่ายเลย ก็ดูเป็นการลงทุนที่สูงเอาการ เพราะการเลือกใช้วัสดุและการพัฒนาให้ Soccket สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นนั้น ต้องใช้ต้นทุนและระยะเวลาอีกพอสมควร นี่เองจึงเป็นเหตุให้เกิดการเรี่ยไรเงินบริจาคเพื่อโครงการดี ๆ แบบนี้ขึ้นมา และก็ได้กระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีกลับไปเช่นกัน

          ไอเดียดี ๆ แบบนี้ น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง และเป็นที่น่าดีใจแทนเด็ก ๆ ในกลุ่มประเทศที่ยังไม่พัฒนาด้วย ที่จะได้มีกีฬาดี ๆ ไว้เล่นกัน แถมยังได้มีไฟฟ้าไว้ใช้ในยามที่จำเป็นมาก ๆ อีกด้วย หัวคิดดีและประโยชน์มากมายขนาดนี้ เราขอปรบมือดัง ๆ ให้กับสาว ๆ จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดทั้ง 4 คนจากใจจริงครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kapook.com/

5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน

1. แนะนำตัวหรือบอกอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับตัวเอง?

          นอกจากเรื่องของชื่อเสียงเรียงนามอันเป็นพื้นฐานทั่ว ๆ ไปแล้ว การแนะนำตัวด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งทางบริษัทและตัวคุณเอง จะต้องมีการพูดถึง เพราะนี่จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รู้ว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน มีความสามารถยังไง และตรงกับความต้องการของบริษัทที่คุณไปสัมภาษณ์หรือไม่ ฉะนั้นตอบไปตามความเป็นจริงเลยครับว่าคุณคือใคร จบอะไรมา หรือมีความถนัดด้านไหน ที่สำคัญข้อมูลที่พูดออกไปต้องตรงกับในเอกสารที่ยื่นไปด้วยนะครับ ไม่งั้นแล้วคุณอาจจะโดนข้อครหาว่า ให้ข้อมูลที่เกินจริงก็เป็นได้

5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน

2. ทำไมคุณถึงเลือกที่นี่?

          คำถามที่ดูเหมือนว่าจะตอบได้ง่าย ๆ อย่าง "ทำไมคุณถึงเลือกที่นี่?" ก็ถือเป็นคำถามที่ปราบเซียนมานักต่อนักแล้ว คำถามแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อจะดูสิว่า คุณในถ้าผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมทำงานกับบริษัทนั้น ๆ มีมุมมองหรือทัศนคติอะไรกับที่นั่นบ้าง 

          ดังนั้น เมื่อเจอกับคำถามนี้ก็ขอให้ใจเย็น ๆ แล้วตอบไปอย่างมั่นใจว่า เพราะคุณเล็งเห็นว่าบริษัทมีความเจริญก้าวหน้า อีกทั้งตัวคุณเองก็มีศักยภาพมากพอที่จะผลักดันให้บริษัทก้าวหน้าไปได้มากกว่าเดิม เพียงแค่นี้ก็ได้ใจคนสัมภาษณ์ไปพอสมควรเลยล่ะ

3. เพราะอะไรคุณถึงออกจากที่เก่า?

          สำหรับคนที่เปลี่ยนงานมาใหม่ แน่นอนว่าร้อยละ 80 ต้องเจอกับคำถามนี้แน่นอน เพราะคนที่เป็น (ว่าที่) นายจ้างของคุณนั้น ย่อมอยากรู้ถึงสาเหตุหรือเหตุผลที่คุณจากที่เก่ามาแน่ ๆ เช่น โดนไล่ออกหรือไม่ หรือสภาพงานที่เก่าสุดจะทนกับการทำงานด้วย เป็นต้น ทางที่ดี ขอให้คุณตอบกลับไปในลักษณะประมาณว่า ที่ต้องออกมาเพราะเห็นว่าคุณสามารถก้าวหน้าได้มากกว่าที่เคย และเมื่อมาเจอที่ใหม่นี้ ก็มั่นใจว่าเป็นงานที่ลงตัวและเหมาะกับความสามารถของคุณ ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาองค์กรได้อย่างแน่นอน

5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน

4. ทำงานล่วงเวลาได้ไหม และสุดสัปดาห์สะดวกทำงานหรือเปล่า?

          อันดับต่อมาที่เขาจะถามคุณ ก็เป้นเรื่องของเวลาการทำงานนี่ล่ะครับ งานแต่ละที่ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละสายงานของบริษัทนั้น ๆ บางแห่งจำเป็นต้องทำช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ด้วย ดังนั้นทางบริษัทเองจึงจำเป็นที่จะต้องถามไถ่ก่อนว่าคุณนั้นสะดวกที่จะทำงานนอกเวลาเพิ่มจากทั้ง 5 วันหรือไม่ 

          ทั้งนี้ทั้งนั้น หากคุณไม่มีภาระใด ๆ มากมายนักก็บอกไปได้เลยครับว่าคุณสะดวก เพราะนั่นจะเป็นการทำให้ทางบริษัทได้รู้ว่าคุณมีความทะเยอทะยานกับงานที่กำลังสัมภาษณ์มาก ๆ แต่หากคุณไตร่ตรองแล้วว่าไม่สะดวกจริง ๆ เพราะยังมีกิจธุระอื่นเยอะแยะมากมายต้องไปทำ ก็ให้บอกไปตามตรงเช่นกัน เพราะหากในวันข้างหน้าถ้าเขารับคุณเข้าทำงานแต่คุณไม่สามารถแบ่งเวลามาทำให้ได้ ก็จะมีผลเสียในหลาย ๆ ด้านตามาในภายหลัง

5. อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ?

          เชื่อได้เลยว่า ใครที่เจอคำถามนี้เข้าไป ก็ต้องมีชะงักกันบ้างล่ะ ก็เล่นถามมาแบบนี้ความกดดันในการคิดคำตอบจึงเกิดขึ้นไปโดยปริยาย ทั้งนี้ทั้งนั้น สาเหตุที่มีคำถามนี้ขึ้น ก็เพื่อเป็นทดสอบคุณดูสิว่า คุณนั้นจะซื่อสัตย์กับตัวเองมากขนาดไหน เพราะใครก็ตามที่ตอบออกมาอย่างมั่นใจเลยว่า ตนไม่มีข้อด้อยหรือจุดบกพร่องใด ๆ ทำงานได้เกินประสิทธิภาพนั้น ถือเป็นคนที่มีปัญหาต่อการเข้าสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวเองมาก ๆ 

          ดังนั้น คุณจึงควรตอบไปตรง ๆ เลยว่าคุณนั้นมีจุดแข็งในด้านใดบ้าง เช่นเดียวกันกับจุดอ่อนที่ควรบอกให้ครบเหมือนกัน และทิ้งท้ายไว่ด้วยว่าในส่วนของจุดอ่อนสามารถแก้ไขได้ หากแต่มีการปรับตัวและพัฒนากันต่อไป เพียงเท่านี้ คุณก็จะโดดเด่นในการสัมภาษณ์ขึ้นมาทันที

          ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ก็เป็น 5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน ยังคงมีคำถามอื่น ๆ อีกเพียบที่รอให้คุณได้ตอบกันอีกเยอะ ทางที่ดี ขอให้คุณเตรียมตัวให้พร้อมและมีสติอยู่เสมอ อย่าไปกดดันตัวเองให้รู้สึกเครียดมากไปนัก ปล่อยตัวสบาย ๆ อย่าเกรงให้มากเกินไป พูดจาให้ชัดถ้อยชัดคำ และยิ้มเข้าไว้ เพียงเท่านี้การสัมภาษณ์งานของคุณก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.kapook.com/

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การฝึกปฏิบัติวิชาชีพครูระหว่างเรียน 2 (12-06-2555 13.00 น.)

1. สมรรถภาพของครูในด้านความรู้
2. สมรรถภาพของครูในด้านเทคนิคการสอน
3. สมรรถภาพของครูในด้านคุณลักษณะและเจคติ
4. จรรยาบรรณครู
การบ้าน...ท่องจำ... จรรยาบรรณครู 9 ข้อ

     1. ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า

     2. ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะและนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้แก่ศิษย์ อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ

     3. ครูต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ

     4. ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์

     5. ครูต้องไม่แสดดงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช้ศิษย์กระทำการใดๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ

     6. ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอยู่เสมอ

     7. ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครู และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู

     8. ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์

     9. ครูพึงประพฤติ ปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
....................................................................................................................

การสังเกตการสอน ปีการศึกษา 2554



(กำลังอัพเดทรายละเอียดข้อมูล)

ข้อคิดของชีวิต


ชีวิตเป็นเหมือนโรงละครโรงใหญ่ มีบทดีบ้าง บทไม่ดีบ้าง ให้เราเป็นผู้เล่น โลดแล่นไปตามบทบาท ทั้งสุขและทุกข์ที่จะคอยเรา ณ จุดใดจุดหนึ่งก็ได้ในหนทางข้างหน้า
เมื่อเผชิญหน้ากับทุกข์ที่ไม่คาดฝัน คนพาลบางคนฆ่าคนที่ทำความทุกข์ให้กับตน บางคนยอมฆ่าตนเอง ตายหนีจากความทุกข์ บางคนสามารถฆ่าทั้งคนอื่นและตนเองได้ แต่บัณฑิตผู้มีปัญญา เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็รู้จักวิธีที่จะฆ่าความทุกข์ ไม่ฆ่าคนอื่น และก็ไม่ฆ่าตนเอง
 สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับชีวิต ก็คือ วิชาความรู้ เพราะความรู้เป็นที่พึ่ง เป็นมิตรแท้ซึ่งจะคอยช่วยเหลือเราในยามสุขและยามทุกข์ได้ตลอดไป มิตรภายนอกส่วนมากช่วยเหลือเราเฉพาะในยามสุข แต่ในยามทุกข์นี้ มิตรเหล่านี้ก็จะตีตนออกห่าง แต่ถ้าเรามีความรู้ ความรู้ก็จะอยู่กับเราตลอดเวลา
 คนในโลกต่างเห็นคุณค่าของความรู้และแสวงหาความรู้อยู่ทั่วไป คนมีทรัพย์มากจึงพยายามส่งบุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ไกล เช่น ตักสิลา บิดามารดาที่ไม่สามารถส่งบุตรไปเรียนถึงตักสิลาได้ ก็ขวนขวายส่งไปเรียนตามสำนักอาจารย์ผู้มีชื่อตามนครต่าง ๆ
 ความจริงนั้น วิชาความรู้มีอยู่เต็มโลก มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีอยู่ในบ้านเมือง ในป่า ในน้ำ ในอากาศ ในคน ในสัตว์ ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้ บุคคลที่ฉลาด มีปัญญา อาจหาความรู้ได้จากทุกหนทุกแห่ง ถ้าพูดตามความจริง โลกทั้งโลกได้ตั้งสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว เพราะทุกสิ่งและทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา คือ ตัวความรู้ ส่วน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือ ครูทั้ง ๖ ที่คอยบอกความรู้ต่าง ๆ แก่เรา ส่วนเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งดีทั้งชั่วที่ทยอยกันเกิดขึ้นมาประสบกับชีวิตเราทุกวัน ๆ ก็คือ บทเรียนของเรา
 เมื่อโลกทั้งโลกเป็นโรงเรียน เราเกิดมาในโลกก็เท่ากับเราเป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา หน้าที่ของเราก็คือ คอยรับบทเรียนที่โรงเรียนจะประสิทธิ์ประสาทให้ บทเรียนบางบทอาจจะง่าย เราอาจจะเรียนได้ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่บทเรียนบางบทอาจจะยาก เราต้องเรียนด้วยความยากลำบาก บางครั้งเราต้องเรียนด้วยน้ำตาแม้กระทั้งชีวิต  นักเรียนบางคนชอบเรียนแบบง่าย ๆ ที่มีความสนุกสนาน แต่นักเรียนพวกนี้เมื่อได้รับบทเรียนที่ยากหน่อย ก็เกิดความท้อแท้ ท้อถอย และความทุกข์ใจ ต่างพยายามหนีจากโรงเรียนโดยวิธีฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่าครูผู้ให้บทเรียนบ้าง เขาเหล่านั้นย่อมจะเป็นนักเรียนที่ดีไม่ได้ เขาจะไม่ได้รับความรู้ชั้นสูง เขาจะโง่และสอบตกอยู่ในโรงเรียนโลกตลอดไป  คนที่เป็นบัณฑิตหรือคนฉลาด จะไม่ใช้วิธีการฆ่าตัวตาย เพราะรู้ว่ามีทางแก้ไขมากมาย และรู้ด้วยว่าชีวิตนั้นเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นก็ต้องมีทางแก้ไข ไม่มีใครสักคนเดียวจะต้องประสบความทุกข์ตลอดชีวิต และก็ไม่มีใครสักคนเดียวประสบแต่ความสุขตลอดชีวิต

ถ้าเรามีการศึกษาถูก มีสัมมาทิฏฐิ เราก็จะอ่านบทเรียนต่าง ๆ ได้ และตัดสินใจได้ด้วยอาวุธ คือ ปัญญา ให้รู้ว่ามันเป็นผลอันเกิดจากเหตุทั้งสิ้น

แอปเปิ้ล เปิดตัว MacBook Pro บางลง พร้อมจอ Retina Display








          หลังจากมีข่าวลือหลุดรอดออกมาให้ได้ลุ้นกันอยู่เรื่อย ๆ สำหรับ MacBook Pro รุ่นใหม่ ที่สาวกหลายคนตั้งตาตั้งตารอติดตามจนโค้งสุดท้าย ล่าสุด แอปเปิ้ลก็ได้เปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้มาพร้อมกับหน้าจอ Retina Display และปรับขนาดตัวเครื่องให้บางลงเกือบเท่ากับ MacBook Air ตามคาด

          โดยเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ในงาน World Wide Developers Conference 2012 หรือ WWDC 2012 แอปเปิ้ลได้เปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ ในชื่อ Next Generation MacBook Pro พร้อมคุณสมบัติที่โดดเด่น ดึงดูดใจ ซึ่งสเปคของเครื่องสามารถสรุปได้ดังนี้

           บางเพียง 1.8 เซนติเมตร (0.71 นิ้ว)
           จอแสดงผลขนาด 15.4 นิ้ว แบบ Retina display ความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล
           ระบบประมวลผล quad-core Intel Core i7 processor ความเร็วสูงสุด 2.3GHz - 2.6GHz
           RAM 8 GB อัพเกรดสูงสุด 16GB 1600MHz
           ความจุในตัวเครื่องขนาด 256GB แบบ SSD อัพเกรดได้สูงสุด 768GB แบบ SSD
           การ์ดจอ Nvidia GeForce GT650M ความเร็ว 1GB
           FaceTime ความละเอียดสูงสุดแบบ HD 720p
           แบตเตอรี่ใช้งานสูงสุด 7 ชั่วโมง
           พอร์ตการเชื่อมต่อ ประกอบด้วย ช่องเสียบหูฟัง, SD card, HDMI, USB 3.0 (2พอร์ต), MagSafe 2, Thunderbolt (2 พอร์ต)
           Multi-touch trackpad
           Backlit keyboard
           รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 4.0
           ระบบปฏิบัติการ OS X Lion

          สำหรับราคาของ Next Generation MacBook Pro ตัวนี้นั้น เปิดตัวอยู่ที่ $2,199 หรือ 72,900 บาทและรุ่นท็อปราคาอยู่ที่ $2,799 หรือ 94,900 บาท
   นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังมีการปรับสเปกแบบ Minor Change ใน Macbook Pro และMacbook Air ด้วย โดยเปลี่ยนซีพียูเป็น Intel IvyBridge Core i5 และ Core i7 พร้อมกราฟิกชิป Intel HD Graphics 4000 โดยคุณสมบัติที่เพิ่มมานั้น มีดังต่อไปนี้



New MacBook Air

New MacBook Air

           ชิปเซ็ทแบบ Ivy Bridge
           ระบบประมวลผลแบบ Dual-core i7 ความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 2.0GHz (turbo boost up to 3.2GHz)
           RAM สูงสุดที่ 8GB 1600MHz
           ประมวลผลภาพเร็วขึ้น 60%
           SSD สูงสุดที่ 512GB
           รองรับ USB 3.0
           FaceTime ความละเอียดสูงสุดแบบ HD 720p
           ราคา New MacBook Air รุ่น 11 นิ้ว  อยู่ที่ 32,900 บาท (64GB)  และ 36,900 บาท (128GB)
           ราคา New MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว  อยู่ที่ 39,900 บาท (128GB)  และ 49,900 บาท  (256GB)



New MacBook Pro

New MacBook Pro

           ชิปเซ็ทแบบ Ivy Bridge
           ระบบประมวลผล Quad-core i7 ความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 2.3-2.6GHz สำหรับรุ่นหน้าจอ 15 นิ้ว
           ระบบประมวลผล Dual-Core i5/i7 ความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 2.5-2.9GHz สำหรับรุ่นหน้าจอ 13 นิ้ว
           หน่วยความจำ RAM สูงสุดที่ 8GB 1600MHz
           ประมวลผลภาพเร็วขึ้น 60%
           การ์ดจอ Nvidia GeForce GT 650M ประมวลผลสูงสุดที่ 1GHz
           รองรับ USB 3.0
           ราคา New MacBook Pro รุ่น 13 นิ้ว อยู่ที่ 39,900 บาท (500GB HDD) และ 49,900 บาท (750GB HDD)
           ราคา New MacBook Pro รุ่น 15 นิ้ว อยู่ที่ 59,900 บาท (500GB HDD) และ 72,900 บาท (750GB HDD)
          

          ทั้งนี้ MacBook Pro, MacBook Air และ Next Generation MacBook Pro วางจำหน่ายแล้ว โดยสามารถสั่งซื้อได้แล้ววันนี้ ผ่านทาง Apple Store Online ประเทศไทย