วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Microsoft เปิดดาวน์โหลดทดลอง Windows8 เวอร์ชั่นเต็มๆ ฟรี 3เดือน ก่อนขายจริง 26 ตุลาคมนี้



หลายท่านคงทราบข่าวนี้แล้วว่า Windows 8 เข้าสู่สถานะ RTM ซึ่งเท่ากับว่าเสร็จสมบูรณ์แล้วสำหรับการผลิต Windows8 ตัวต้นแบบ และตอนนี้บรรดาผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จะนำ Windows 8 ไปติดตั้งทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ตัวเองก่อนเปิดตัวขายจริงพร้อมกันในวันที่ 26 ตุลาคมนี้  วันนี้คนที่เป็นสมาชิก MSDN/TechNet ของMicrosoft ซึ่งเป็นกลุ่มของนักพัฒนา สามารถดาวน์โหลดตัว Windows8 รุ่นเต็มก่อนขายจริง มาลองทดสอบก่อนได้
แต่ถ้าใครอยากจะลอง Windows8 รุ่นจริงก่อนที่จะออกขายจริงละก็ Microsoft ได้ปล่อย Windows 8 Enterprise สำหรับนักพัฒนา ไปติดตั้งใช้งานได้ฟรี 90 วัน นับตั้งแต่เริ่มทำการ Activate เริ่มใช้งานครั้งแรก หลังติดตั้งเสร็จ ซึ่งมีให้เลือกติดตั้งทั้ง 32บิต และ 64 บิต โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

10 ประโยคอันตราย ที่คุณสามีไม่ควรพลั้งปากพูดกับภรรยา




         คู่สามีภรรยา...ก็เหมือนกับลิ้นกับฟัน ที่มีโอกาสกระทบกระทั่งกันได้ตลอดเวลา แต่ถ้าถามตรง ๆ ก็ไม่มีใครอยากมีปัญหากันอยู่แล้วล่ะ จริงไหม? โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่บางครั้งอาจเผลอพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไปแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่รู้ว่าคำไหนมันจะพุ่งเข้าไปเสียดแทงใจดำให้ผู้หญิงโกรธเอาน่ะสิ ดังนั้น กระปุกดอทคอมเลยรวบรวมประโยคเจ็บจี๊ดบาดลึกที่สามีไม่ควรพูดกับภรรยามาเผยให้ทราบกัน

 1. "ผมว่าบางทีคุณน่าจะลดน้ำหนักได้แล้วนะ"

         ความจริงแล้วผู้ชายหลายคนน่าจะรู้ดีว่า เรื่องน้ำหนัก ของผู้หญิงคือสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรหลุดปากพูดออกมาอย่างเด็ดขาด (ถึงแม้ว่าหุ่นเธอจะอวบอั๋นจริง ๆ ก็ตาม) เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเสียความมั่นใจในตัวเองมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ หรือถ้าคุณอยากจะเตือนเธอด้วยความหวังดีจริง ๆ ก็ลองเลี่ยงไปใช้คำพูดอื่นแทนจะดีกว่านะ 

 2. "ทำไมคุณไม่ทำงานให้มากเหมือนกับที่ผมทำล่ะ?"

         อันดับแรกลองสำรวจตัวเองก่อนนะว่าคุณทำงานมากกว่าเธออย่างที่พูดจริงหรือเปล่า? ยิ่งถ้าภรรยาคุณทำงานตอนกลางวันเช่นเดียวกับคุณด้วย ก็อย่าได้ริพูดประโยคนี้ออกไปเชียว เพราะนอกเหนือจากงานที่เธอต้องรับผิดชอบที่บริษัทแล้ว ยังต้องกลับมาจัดการงานบ้าน และดูแลลูกอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเธอไม่มีวันหยุดเลยแม้แต่วันเดียวด้วยซ้ำ สู้เงียบไว้จะดีกว่านะ ถ้าคุณไม่ได้ช่วยเธอทำงานบ้าน

 3. "ผมมีเรื่องจากที่ทำงานจะเล่าให้ฟังด้วยนะ"

         บางครั้งทั้งสามีและภรรยา ต่างก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากความรับผิดชอบงานที่บริษัทมามากแล้ว ครั้นจะต้องมานั่งฟังคุณเล่าเรื่องกอสซิปของคนในบริษัทให้ฟังทุกวันอีก ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน หยุดพูดแต่เรื่องของตัวเอง แต่ควรถามไถ่และรับฟังปัญหาของเธอดู ว่ามีอะไรทำให้เธอไม่สบายใจบ้างหรือเปล่า

 4. "ดูสิ ผู้หญิงคนนั้นสวยจังเลย"

         ผู้หญิงบางคนอาจดูไม่ถือสาอะไรกับการที่คุณชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเธอ แต่กับบางคนประโยคนี้ก็สะเทือนใจอยู่ไม่เบานะ ถึงเธออาจไม่แสดงออกก็ตาม ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบให้คนรักของตัวเองเที่ยวไปชื่นชมคนอื่นอยู่ร่ำไป แทนที่จะหันมามองคนรักที่ตัวเองมีอยู่ข้างกาย โอเคล่ะ...การจะแอบเหล่มองสาว ๆ สวย ๆ มันก็คงห้ามไม่ได้หรอก เรื่องธรรมดาของผู้ชาย แต่อย่างน้อยก็อย่าให้ออกหน้าออกตาให้มากแล้วกันเนอะ


 5. "ผมไม่มีอารมณ์อยากจะคุยด้วยตอนนี้"

         ไม่ว่าคุณจะอยากหรือไม่อยากคุยกับเธอก็ตาม แต่อย่าได้ใช้ประโยคนี้เป็นข้ออ้างในการเลี่ยงที่จะคุยกับเธออย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากพูดอะไรมากก็พยายามรับฟังเธอแทน 

 6. "ทั้งหมดที่คุณทำไป มันคือการจ้องจับผิดผมชัด ๆ"

         ปัญหาที่คุณกับภรรยาที่ถกเถียงกันอยู่นั้น อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย แต่เมื่อไหร่ที่คุณโพล่งออกไปแบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองเธอปรี๊ดแตกแน่ (ถึงแม้เธอจะชอบจับผิดจริง ๆ ก็เถอะ) นิ่ง ๆ เข้าไว้ อย่าไปเถียงให้เหนื่อยดีกว่า ยังไงเธอก็ไม่ยอมรับอยู่แล้ว ค่อยปรับความเข้าใจตอนเธอใจเย็นกว่านี้จะดีกว่า

 7. "ทำไมคุณถึงอยากจะไปช้อปปิ้งอีกแล้วล่ะ?"

         คุณก็รู้ว่าผู้หญิงกับการช้อปปิ้งเป็นของคู่กัน แม้เธอจะรู้ว่าคุณจะเกลียดการเดินช้อปปิ้งมากแค่ไหน ยังไง๊ ยังไงก็ต้องลากคุณไปด้วยอยู่ดี ฉะนั้น ก็ยอม ๆ เธอไปเสียเถอะ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรมาก ถ้ามันทำให้เธอมีความสุขและเลิกบ่นได้ก็น่าจะโอเคนะ 

 8. "คุณคงไม่คิดจะสวมชุดนั้นจริง ๆ ใช่ไหม?"

         แม้คุณจะไม่เห็นด้วยกับชุดที่ภรรยาเลือกใส่มากแค่ไหน บางครั้งก็ต้องทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ซะบ้าง เพราะไม่งั้นอาจจะเกิดศึกขึ้นมาได้น่ะสิ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นคนมาถามความเห็นจากคุณเอง อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ดี ถ้าคุณไม่ถูกใจก็ตอบแบบเซฟตัวเองไปก่อนว่า "ลองใส่ชุดอื่นแทนดีกว่าไหม ผมว่าชุดนี้มันไม่เข้ากับคุณเท่าไหร่นะ"

 9. "ที่คุณเป็นแบบนี้ คงเพราะเป็นวันนั้นของเดือนอยู่ล่ะสิ"

         ถ้าเธอทำตัวไม่ดีหรือไม่ถูกใจคุณ แล้วไปโทษว่าเป็นเพราะเธอมีประจำเดือนอยู่ล่ะก็ ออกจะเป็นการเถียงแบบข้าง ๆ คู ๆ ไปสักหน่อยนะ ประโยคนี้ถ้าผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดเองก็พออ้างได้อยู่หรอก แต่ผู้ชายพูดนี่ไม่ไหวนะ หากอยากจะตอบโต้ ก็ควรใช้เหตุผลเข้าสู้ดีกว่า

 10. "คุณนี่ทำตัวเหมือนกับแม่ของคุณเลยนะ"

         โดยธรรมชาติ ผู้หญิงไม่ชอบการถูกเปรียบเทียบกับใคร ไม่เว้นแม้กระทั่ง แม่ของเธอเอง สมมติว่าคุณไม่ค่อยถูกกับแม่ยายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าเกิดดั๊นไปมีเรื่องทะเลาะกับภรรยาเข้า แล้วพลั้งปากพาดพิงไปถึงแม่ยายล่ะก็ นอกจากเธอจะไม่พอใจคุณที่นำเธอไปเปรียบเทียบแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ให้ความเคารพต่อบุพการีของเธออีกด้วย 

         เมื่อได้ทราบกันไปแล้วว่า ประโยคใดบ้างที่ไม่ควรใช้พูดกับภรรยา (หากไม่อยากเดือดร้อนในภายหลัง) ก็อย่าลืมเก็บไว้เตือนตัวเองไม่ให้หลุดปากพูดออกไปแล้วกัน หรือถ้าหนุ่ม ๆ คนไหนเคยพูดอะไรไปจนทำให้ตัวเองถูกภรรยาเหวี่ยงใส่ ก็ลองมาแชร์ให้ฟังกันบ้างนะ เพราะเราก็ไม่อยากเจอดีเหมือนกันน่ะสิ!



ขอขอบคุณ   www.kapook.com/

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 ประโยชน์ดี ๆ ที่ได้จากการงีบหลับช่วงสั้น ๆ


 อย่างที่เราทราบ ๆ กันดีนะครับว่า การนอนหลับถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ที่คนเราทุกคนควรจะนอนให้เพียงพอ แต่สำหรับคนที่นอนไม่ค่อยจะพอสักเท่าไหร่ แล้วอยากจะงีบหลับสักเล็กน้อยบ้างนั้น เราสนับสนุนให้มีงีบบ้างนะครับ เพราะทางเว็บไซต์ mensxp.com ได้บอก 10 ประโยชน์ดี ๆ ที่ได้จากการงีบหลับช่วงสั้น ๆ ซึ่งประโยชน์ทั้ง 10 ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง เราลองมาดูไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าครับ

 1. ลดความเครียดได้

          ไม่ว่าคุณจะฟุบงีบบนโต๊ะ หรือจะได้นอนแบบจริง ๆ จัง ๆ นั้น จะถือเป็นเวลาที่คุณจะได้ผ่อนคลายอย่างสบายทีเดียว โดยมีผลวิจัยทางการแพทย์ออกมาระบุว่าการงีบเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยลดฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ด้วย

 2. ก่อให้เกิดการตื่นตัวในการทำงาน

          นักวิทยาศาสตร์พบว่าการงีบหลับเพียง 20 นาทีหลังจากที่เราตื่นมาแล้ว 8 ชั่วโมงจะช่วยเสริมพลังให้ตัวเราได้ดีกว่าการนอนต่ออีก 20 นาทีในตอนเช้า ซึ่งนี่ล่ะ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่และผลักดันให้พร้อมทำงานหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องรับผิดชอบได้ดีมากขึ้น



 3. เพิ่มความจำได้เยอะเลยล่ะ

          ตามข้อมูลระบุว่า การงีบในช่วงกลางวันจะช่วยเพิ่มในเรื่องของความจำให้กับสมองได้ดีเพิ่มขึ้นมาก ๆ แถมสิ่งต่าง ๆ ที่จดจำนั้นก็จะจำได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำกว่าที่เคยมาก ๆ อีกต่างหาก

 4. เป็นผลดีต่อหัวใจ

          จากการวิจัยพบว่า การงีบหลับในช่วงระหว่างวัน จะช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจโดยเฉพาะในหนุ่ม ๆ ที่มีสุขภาพดี ผลงานวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาจากผู้คนกว่า 23,681 คนในประเทศกรีซ ซึ่งไม่มีประวัติเป็นโรคหัวใจตีบ เส้นโลหิตสมองแตกหรือมะเร็ง ซึ่งจากการวิจัยดังกล่าวก็ได้ผลสรุปออกมาว่า หากมีการงีบหลับอย่างน้อยสัก 20-30 นาที จะลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 37% เลยทีเดียว

 5. เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้น

          องค์การนาซ่า (NASA) เคยทำการวิจัยมาว่า การงีบหลับช่วยเพิ่มความสามารถด้านการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นกว่า 40% โดยทดลองให้อาสาสมัคร 1,000 คน ทำงานต่อเนื่องแบบไม่หยุดพัก นี่เองเลยทำให้ความจำของพวกเขาลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้งีบหลับ


 6. เกิดแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย

          อีกหนึ่งประโยชน์ที่มาพร้อม ๆ กับการงีบหลับก็คือ เรื่องของการเพิ่มแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย โดยจากข้อมูลทางการแพทย์บอกไว้ว่า การงีบหลับก่อนไปออกกำลังกาย ช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งได้เร็วและได้ระยะทางที่ไกลกว่าเดิม แถมยังทำให้สภาพจิตใจรู้สึกสดชื่นมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

 7. ช่วยให้สมองโลดแล่น

          นอกจากเรื่องของความจำและการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะทำได้ดีมากขึ้นแล้ว หากใครที่ต้องทำงานหรือต้องใช้ความคิดในการสร้างสรรค์งานอยู่เสมอล่ะก็ การงีบหลับจะช่วยได้มากทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นผลมาจากการที่สมองได้พักผ่อนไปนั่นเอง ซึ่งเมื่อคุณตื่นขึ้นมา สมองก็พร้อมที่จะใช้งานและพร้อมที่จะคิดไอเดียใหม่ ๆ ออกมาเสมอด้วยนั่นเอง

 8. เกิดความกระตือรือร้น

          นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายกับวัยรุ่นหนุ่ม 11 คนพบว่า ใครที่นอนเพียงแค่ 4 ชั่วโมงต่อวันนั้น จะมีอาการอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อมีการงีบหลับสักแค่ 20 นาที อาการอิดโรยต่าง ๆ ก็หายไปซะดื้อ ๆ แถมยังช่วยให้มีแรงไปทำสิ่งอื่น ๆ ได้เหมือนกับคนที่พักผ่อนอย่างเพียงพออีกต่างหาก แต่อย่างไรก็ดี จากอาการต่าง ๆ ที่บอกว่าหายไปนั้นจะหายไปเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จะไม่เกิดความกระตือรือร้นไปตลอดทั้งวันแต่อย่างใด



 9. ช่วยป้องกันโรคนอนไม่หลับ

          ใครที่กำลังประสบปัญหากับการนอนไม่หลับ ก็อย่าเพิ่งกังวลมากจนเกินไปนัก เพราะเพียงแค่คุณลองหาเวลาสัก 20 นาทีเพื่อให้ได้งีบสักบ้าง ก็จะช่วยทดแทนเรื่องของการพักผ่อนได้ดีพอควร อาจจะเป็นการงีบหลับช่วงสั้น ๆ ในเวลากลางวัน ก็ช่วยได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี อย่าได้ทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัย หากแต่ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการพักผ่อนเสียใหม่ จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

 10. สุขภาพดีขึ้นไม่น้อย

          ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า การงีบหลับนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายมหาศาล อันจะเห็นได้จากการส่งผลดีต่อ การทำงานของหัวใจ ปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย และช่วยซ่อมบำรุงเซลล์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งหากใครที่มองว่าการงีบไม่ใช่เรื่องที่ดี ลองหันมางีบหลับบ้าง แล้วจะพบว่ามีหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจริง ๆ

          แม้ว่าเรื่องของ "การงีบหลับ" จะมีประโยชน์และผลดีมากมายขนาดนี้ แต่การพักผ่อนให้เพียงพอ ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะส่งผลดีต่อร่างกายคนเราซะมากกว่า ส่วนเรื่องของการงีบหลับนั้น ก็นำมาปรับใช้ตามความเหมาะสมของการใช้ชีวิตของแต่ละคน ก็จะยิ่งช่วยเสริมผลดีให้แก่ร่างกายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณควรงีบหลับเพียงแค่ 15-20 นาทีต่อวันเท่านั้น ประโยชน์ดี ๆ เหล่านี้ถึงจะทำงานได้อย่างได้ผล หากงีบหลับมากไปว่านั้น นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังอาจจะส่งผลต่อหน้าที่การงานคุณเข้าอย่างจังเลยก็ได้!!

ขอบคุณข้อมูลจาก   www.kapook.com/

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Acer Aspire S7 อัลตร้าบุ๊ควินโดวส์ 8 พร้อมหน้าจอสัมผัส



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Engadget
 
          เตรียมตัวบอกลาโน๊ตบุ๊คแบบเดิม ๆ ได้เลย ยุคของอัลตร้าบุ๊คได้มาถึงแล้ว โน๊ตบุ๊คแบบบาง ๆ น้ำหนักเบา พกพาสะดวกและประหยัดพลังงาน ล่าสุดทาง Acer ได้เผยโฉม Acer Aspire S7 อัลตร้าบุ๊ครุ่นท็อปที่มาพร้อมกับดีไซน์สุดหรูหน้าจอสัมผัส และตัวเครื่องบางเพียง 12.5 มิลลิเมตรเท่านั้น มาพร้อมขุมพลังซีพียูตระกูล Intel Ivy Bridge โดยแบ่งออกเป็น 2 รุ่นด้วยกัน คือ รุ่นหน้าจอขนาด 13.3 นิ้วและรุ่นหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว
 


Acer Aspire S7

Acer Aspire S7
 
          สำหรับ Acer Aspire S7 จุดเด่นอยู่ที่หน้าจอสัมผัสแบบ Full HD สามารถกางออกได้ 180 องศา และออกแบบมาให้รองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 8 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานด้วยซีพียูตระกูล Ivy Bridge ทำให้ใช้งานได้อย่างราบรื่นและประหยัดพลังงาน ส่วนตัวเครื่องวัสดุเป็นอะลูมิเนียม โครงสร้างเป็นแบบชิ้นเดียว (Unibody) มีความหนาเพียง 12.5 มิลลิเมตร (หนากว่า Acer Aspire S5 แค่ 1.5 มิลลิเมตร)
 
Acer Aspire S7
 
สเปคและคุณสมบัติอื่น ๆ ของ Acer Aspire S7 

 ซีพียูตระกูล Intel Ivy Bridge
 ระบบปฏิบัติการ Windows 8
 หน้าจอสัมผัส ขนาด 13.3 นิ้วและ 11.6 นิ้ว แบบ Full HD ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล
 ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม มีความหนาเพียง 12.5 มิลลิเมตร
 แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 12 ชั่วโมง (รุ่นหน้าจอ 13.3 นิ้ว) และแบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 9 ชั่วโมง (รุ่นหน้าจอ 11.6 นิ้ว)
 คีย์บอร์ดแบบ light-sensor ที่ปรับระดับแสงสว่างบนคีย์บอร์ดให้เองอัตโนมัติ
 ใช้เทคโนโลยีระบายความร้อน Twin-Air cooling system ที่จะช่วยให้ระบบระบายความร้อนดีขึ้น ไม่เกิดความร้อนสะสม
 ราคายังไม่มีการเปิดเผย
 
          สำหรับ Acer Aspire S7 เป็นอัลตร้าบุ๊คที่เหมาะกับคนที่ชอบความสะดวก เน้นพกพาง่าย น้ำหนักเบา อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานด้วยหน้าจอแบบสัมผัส ทั้งนี้ Acer Aspire S7 คาดว่าจะออกวางจำหน่ายหลังจากที่ทางไมโครซอฟท์เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 8 เรียบร้อยแล้ว คือประมาณช่วงปลายปี 2012 นั่นเอง

5 ประโยคเด็ด ในการง้อแฟนสาวขี้งอนให้ได้ผล

           หนุ่ม ๆ หลายคนคงปวดหัวและเพลียใจอยู่บ่อย ๆ กับเวลาที่ต้องมานั่งง้อแฟนสาวจอมขี้งอนของตัวเองใช่ไหมครับ โดยเฉพาะเวลาที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่ต้องมาตามง้อให้เธอยิ้มออก ซึ่งบางครั้งพยายามคอยเอาอกเอาใจก็แล้ว หาของขวัญมาปลอบใจก็แล้ว แต่ก็ยังไม่หายอยู่ดี ความจริงแล้วมันมีเคล็ดลับง่าย ๆ อยู่อย่างหนึ่งคือ การใช้ลมปากของเรานี่แหละ พูดให้เธอหายโกรธ ซึ่งวันนี้เราเตรียมประโยคเด็ดที่ว่ามาแนะนำให้คุณทราบกัน

 1. "ที่รัก...ผมขอโทษนะ"

           บางครั้งคุณไม่ต้องมัวมานั่งหาคำตอบหรอกนะ ว่าเรื่องนี้ใครผิดใครถูก แต่หน้าที่ของผู้ชายอย่างเราคือ กล่าวขอโทษเธอไปซะเถอะ มันไม่ได้เสียเกียรติหรือศักดิ์ศรีอะไรเลย หากจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน ซ้ำยังเป็นการแสดงออกให้เธอเห็นว่าคุณยินดีรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย อ่อ แต่อย่าลืมว่า เวลากล่าวคำขอโทษให้พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจอย่างจริงใจด้วยนะ เพราะผู้หญิงเธอรู้นะว่า คุณเสียใจอย่างที่พูดจริง ๆ หรือว่าพูดเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป

5 ประโยคเด็ด ในการง้อแฟนสาวขี้งอนให้ได้ผล

 2. "ผมรักคุณและคิดถึงคุณมาก"

           ร้อยทั้งร้อยผู้หญิงน่ะแพ้คำว่า รักและคิดถึง มากที่สุด เพราะเป็นคำง่าย ๆ สั้น ๆ แต่มีอิทธิพลกับความรู้สึกมากทีเดียว ไม่ว่าเธอจะโมโหเกรี้ยวกราดมาจากไหน แต่เมื่อได้ยินคำบอกรักหวาน ๆ ซึ้ง ๆ จากคุณเข้า ต้องหายโกรธและพร้อมให้อภัยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ก่อนพูดต้องดูจังหวะและเวลาที่เหมาะสมด้วย ไม่ใช่ว่าเธอกำลังพูดอยู่ฉอด ๆ ๆ แล้วคุณดันไปบอกรักเธอสวนกลับไป เธอคงปลื้มอยู่หรอกนะอารมณ์นั้น

 3. "เราหายโกรธกันแล้วใช่ไหม?"

           หลายครั้ง ที่คู่รักหลายคู่มักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เป็นประจำ ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กขี้ประติ๋ว แต่ดั๊นกลายมาเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันจนได้ ที่สำคัญทั้งคุณและเธออาจหายเคืองกันแล้วด้วยซ้ำ แต่ดันฟอร์มจัดไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน ฉะนั้น มันก็เป็นหน้าที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ แล้วล่ะ ที่ต้องเป็นคนเดินเข้าหาผู้หญิงก่อน โดยแกล้งเข้าไปถามเธอสิว่า "นี่เราหายโกรธกันแล้วใช่ไหมจ๊ะที่รัก? งั้นออกไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานกันเถอะ" ชวนคุยแบบเนียน ๆ ไปเลย

5 ประโยคเด็ด ในการง้อแฟนสาวขี้งอนให้ได้ผล

 4. "ที่รัก คุณทำอะไรอยู่ครับ?"

           หลังผ่านพ้นช่วงเวลาที่ถกเถียงกันอย่างหนักไปเรียบร้อยแล้ว หากไม่แน่ใจว่า แฟนของคุณอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ ก็ส่งข้อความ SMS แย็บ ๆ ไปทักทายสั้น ๆ ก่อนว่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ แล้วดูสิว่าเธอจะตอบกลับมาหรือเปล่า แต่ไม่ต้องส่งข้อความไปหาแบบยิก ๆ นะ เพราะเธออาจยิ่งรำคาญเข้าไปใหญ่ ถ้าเธออารมณ์ดีแล้วก็ตอบคุณมาเองแหละ

 5. "เราหันหน้ามาคุยกันดีกว่านะ"

           เชื่อไหมว่า ผู้หญิงหลายคนเมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า พวกเธอจะรู้สึกว่าปัญหามันเริ่มซีเรียสมากแล้ว และคุณอยากจะเคลียร์กับเธอแล้วจริง ๆ ดังนั้น หากลองพูดทุกประโยคข้างต้นไปหมด และสถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ให้บอกเธอไปตามตรงว่า คุณอยากจะคุยถึงปัญหาว่ามันเกิดอะไร โดยที่คุณต้องใจเย็น ๆ และพยายามมีเหตุผลด้วย เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน

           เอาล่ะ เมื่อได้ทราบถึงประโยคเด็ดที่จะทำให้สาว ๆ ยอมใจอ่อน หายโกรธกันไปแล้ว ไม่เชื่อก็ลองนำไปพูดกับแฟนของคุณดูสิ ผู้หญิงง้อไม่ยากหรอก แต่ก็ไม่ควรไปทำอะไรให้พวกเธอเคืองบ่อย ๆ ล่ะ เพราะถึงเธอจะให้อภัย แต่ไม่ลืมง่าย ๆ นะ จะบอกให้

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ใครคือครู ครูคือใคร ในวันนี้


ใครคือครูครูคือใครในวันนี้ ใช่อยู่ที่ปริญญามหาศาล
ใช่อยู่ที่เรียกว่าครูอาจารย์  ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน
ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน
ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียรให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้การงาน
ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์มีดวงมาลเพื่อมวลชนใช่ตนเอง
ครูจึงเป็นนักสร้างผู้ใหญ่ยิ่งสร้างความจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง
สร้างคนให้เป็นตัวของตัวเองขอมอบเพลงนี้มาบูชาครู....

Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้


Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้

Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้

Soccket ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้

          หากจะพูดถึงกีฬาที่เป็นสากลของมวลมนุษยชาติแล้ว "ฟุตบอล" ถือเป็นกีฬาที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ รู้จัก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อีกทั้ง ฟุตบอลยังเป็นสิ่งที่ช่วยจุดประกายความฝันเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ มากมาย ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ อันจะเห็นได้จากนักฟุตบอลดัง ๆ มากมาย ที่ได้แรงกระตุ้นในการต่อสู้กับชีวิตด้วยลูกกลม ๆ ที่ว่านี้

          แต่จะอย่างไรก็ดี ลูกกลม ๆ ที่ฮอตฮิตก็ไม่ได้ทำหน้าเป็นเพียงลูกยางให้ได้เตะกันเท่านั้น หากแต่สามารถผลิตกระแสไฟให้ได้ใช้ในยามค่ำคืนอีกด้วย ครับ! คุณ ๆ อ่านกันไม่ผิดแน่นอน เพราะวันนี้เราขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ "Soccket" ลูกฟุตบอลที่ช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าได้ให้ใช้ในครัวเรือนได้จริง ๆ

          Soccket เป็นผลงานชั่นเยี่ยมของ 4 สาวนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) โดยภายในของ Soccket จะมีขดลวดซึ่งทำหน้าหน้าเป็นตัวประจุแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ทั่วลูกบอล ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ลูกบอลกลิ้งไปมา หรือมีการเคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็นการโดนสัมผัสในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม ขดลวดที่ว่าก็จะทำหน้าที่บรรจุกระแสไฟฟ้าทันทีเก็บสะสมไว้ทันที

          จากการทดสอบนั้น ระบุไว้ว่า เพียงแค่เตะบอลไปมาเป็นเวลา 15 นาที ก็จะมีพลังงานไฟฟ้าได้ใช้ได้นานถึง 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งนี่ถือเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญที่มีความยิ่งใหญ่มาก ๆ ทั้งนี้ ทั้ง 4 สาวได้ลองนำผลงานของพวกเธอไปให้กับเด็ก ๆ ในประเทศที่ยังไม่พัฒนาได้ลองไปเล่นกันดู จากนั้นแล้วก็ลองนำมาทดสอบว่า สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้จริงหรือไม่ ซึ่งผลที่ได้ ก็ดีเกินคาดอย่างมากจริง ๆ Soccket สามารถผลิตไฟฟ้าได้จริง

          ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่สาว ๆ นักประดิษฐ์ทั้ง 4 จะทำออกจำหน่ายเลย ก็ดูเป็นการลงทุนที่สูงเอาการ เพราะการเลือกใช้วัสดุและการพัฒนาให้ Soccket สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นนั้น ต้องใช้ต้นทุนและระยะเวลาอีกพอสมควร นี่เองจึงเป็นเหตุให้เกิดการเรี่ยไรเงินบริจาคเพื่อโครงการดี ๆ แบบนี้ขึ้นมา และก็ได้กระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีกลับไปเช่นกัน

          ไอเดียดี ๆ แบบนี้ น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง และเป็นที่น่าดีใจแทนเด็ก ๆ ในกลุ่มประเทศที่ยังไม่พัฒนาด้วย ที่จะได้มีกีฬาดี ๆ ไว้เล่นกัน แถมยังได้มีไฟฟ้าไว้ใช้ในยามที่จำเป็นมาก ๆ อีกด้วย หัวคิดดีและประโยชน์มากมายขนาดนี้ เราขอปรบมือดัง ๆ ให้กับสาว ๆ จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดทั้ง 4 คนจากใจจริงครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kapook.com/

5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน

1. แนะนำตัวหรือบอกอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับตัวเอง?

          นอกจากเรื่องของชื่อเสียงเรียงนามอันเป็นพื้นฐานทั่ว ๆ ไปแล้ว การแนะนำตัวด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งทางบริษัทและตัวคุณเอง จะต้องมีการพูดถึง เพราะนี่จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รู้ว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน มีความสามารถยังไง และตรงกับความต้องการของบริษัทที่คุณไปสัมภาษณ์หรือไม่ ฉะนั้นตอบไปตามความเป็นจริงเลยครับว่าคุณคือใคร จบอะไรมา หรือมีความถนัดด้านไหน ที่สำคัญข้อมูลที่พูดออกไปต้องตรงกับในเอกสารที่ยื่นไปด้วยนะครับ ไม่งั้นแล้วคุณอาจจะโดนข้อครหาว่า ให้ข้อมูลที่เกินจริงก็เป็นได้

5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน

2. ทำไมคุณถึงเลือกที่นี่?

          คำถามที่ดูเหมือนว่าจะตอบได้ง่าย ๆ อย่าง "ทำไมคุณถึงเลือกที่นี่?" ก็ถือเป็นคำถามที่ปราบเซียนมานักต่อนักแล้ว คำถามแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อจะดูสิว่า คุณในถ้าผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมทำงานกับบริษัทนั้น ๆ มีมุมมองหรือทัศนคติอะไรกับที่นั่นบ้าง 

          ดังนั้น เมื่อเจอกับคำถามนี้ก็ขอให้ใจเย็น ๆ แล้วตอบไปอย่างมั่นใจว่า เพราะคุณเล็งเห็นว่าบริษัทมีความเจริญก้าวหน้า อีกทั้งตัวคุณเองก็มีศักยภาพมากพอที่จะผลักดันให้บริษัทก้าวหน้าไปได้มากกว่าเดิม เพียงแค่นี้ก็ได้ใจคนสัมภาษณ์ไปพอสมควรเลยล่ะ

3. เพราะอะไรคุณถึงออกจากที่เก่า?

          สำหรับคนที่เปลี่ยนงานมาใหม่ แน่นอนว่าร้อยละ 80 ต้องเจอกับคำถามนี้แน่นอน เพราะคนที่เป็น (ว่าที่) นายจ้างของคุณนั้น ย่อมอยากรู้ถึงสาเหตุหรือเหตุผลที่คุณจากที่เก่ามาแน่ ๆ เช่น โดนไล่ออกหรือไม่ หรือสภาพงานที่เก่าสุดจะทนกับการทำงานด้วย เป็นต้น ทางที่ดี ขอให้คุณตอบกลับไปในลักษณะประมาณว่า ที่ต้องออกมาเพราะเห็นว่าคุณสามารถก้าวหน้าได้มากกว่าที่เคย และเมื่อมาเจอที่ใหม่นี้ ก็มั่นใจว่าเป็นงานที่ลงตัวและเหมาะกับความสามารถของคุณ ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาองค์กรได้อย่างแน่นอน

5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน

4. ทำงานล่วงเวลาได้ไหม และสุดสัปดาห์สะดวกทำงานหรือเปล่า?

          อันดับต่อมาที่เขาจะถามคุณ ก็เป้นเรื่องของเวลาการทำงานนี่ล่ะครับ งานแต่ละที่ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละสายงานของบริษัทนั้น ๆ บางแห่งจำเป็นต้องทำช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ด้วย ดังนั้นทางบริษัทเองจึงจำเป็นที่จะต้องถามไถ่ก่อนว่าคุณนั้นสะดวกที่จะทำงานนอกเวลาเพิ่มจากทั้ง 5 วันหรือไม่ 

          ทั้งนี้ทั้งนั้น หากคุณไม่มีภาระใด ๆ มากมายนักก็บอกไปได้เลยครับว่าคุณสะดวก เพราะนั่นจะเป็นการทำให้ทางบริษัทได้รู้ว่าคุณมีความทะเยอทะยานกับงานที่กำลังสัมภาษณ์มาก ๆ แต่หากคุณไตร่ตรองแล้วว่าไม่สะดวกจริง ๆ เพราะยังมีกิจธุระอื่นเยอะแยะมากมายต้องไปทำ ก็ให้บอกไปตามตรงเช่นกัน เพราะหากในวันข้างหน้าถ้าเขารับคุณเข้าทำงานแต่คุณไม่สามารถแบ่งเวลามาทำให้ได้ ก็จะมีผลเสียในหลาย ๆ ด้านตามาในภายหลัง

5. อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ?

          เชื่อได้เลยว่า ใครที่เจอคำถามนี้เข้าไป ก็ต้องมีชะงักกันบ้างล่ะ ก็เล่นถามมาแบบนี้ความกดดันในการคิดคำตอบจึงเกิดขึ้นไปโดยปริยาย ทั้งนี้ทั้งนั้น สาเหตุที่มีคำถามนี้ขึ้น ก็เพื่อเป็นทดสอบคุณดูสิว่า คุณนั้นจะซื่อสัตย์กับตัวเองมากขนาดไหน เพราะใครก็ตามที่ตอบออกมาอย่างมั่นใจเลยว่า ตนไม่มีข้อด้อยหรือจุดบกพร่องใด ๆ ทำงานได้เกินประสิทธิภาพนั้น ถือเป็นคนที่มีปัญหาต่อการเข้าสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวเองมาก ๆ 

          ดังนั้น คุณจึงควรตอบไปตรง ๆ เลยว่าคุณนั้นมีจุดแข็งในด้านใดบ้าง เช่นเดียวกันกับจุดอ่อนที่ควรบอกให้ครบเหมือนกัน และทิ้งท้ายไว่ด้วยว่าในส่วนของจุดอ่อนสามารถแก้ไขได้ หากแต่มีการปรับตัวและพัฒนากันต่อไป เพียงเท่านี้ คุณก็จะโดดเด่นในการสัมภาษณ์ขึ้นมาทันที

          ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ก็เป็น 5 คำถามสำคัญ ที่ใช้กันบ่อยเมื่อมีสัมภาษณ์งาน ยังคงมีคำถามอื่น ๆ อีกเพียบที่รอให้คุณได้ตอบกันอีกเยอะ ทางที่ดี ขอให้คุณเตรียมตัวให้พร้อมและมีสติอยู่เสมอ อย่าไปกดดันตัวเองให้รู้สึกเครียดมากไปนัก ปล่อยตัวสบาย ๆ อย่าเกรงให้มากเกินไป พูดจาให้ชัดถ้อยชัดคำ และยิ้มเข้าไว้ เพียงเท่านี้การสัมภาษณ์งานของคุณก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.kapook.com/